ชุดความคิดแบบนักสืบ

เมื่อเราทำสิ่งใดซ้ำๆ ดูสิ่งใดบ่อยๆ ฟังอะไรเดิมๆ เมื่อมันมาจากชุดความคิดเดียวกัน ผลลัพธ์ที่ได้ออกมา มันจะไม่ต่างกัน
ผลลัพธ์จากชุดความคิดเดียวกันจะเป็นกลายเป็นความจริงเพียงหนึ่งเดียว (คุ้นๆ กันไหม ฮ่าๆ)
และเราจะเข้าใจมันได้ง่ายๆ จะเพราะอะไรล่ะ
ก็เพราะมันเป็นชุดความคิดที่ถูกฝังลงในหัวในสมองของเราไปแล้ว
ไม่ว่าเราจะมองเห็นอะไร ได้ยินอะไร หรือแม้แต่ทำอะไร ชุดความคิดแบบนั้นๆ จะครอบเราเอาไว้แล้ว

หลายปีมานี้ การมียูทูบทำให้เรามองอย่างสายตาของนักสืบมากขึ้น
มันก็เป็นเพราะว่า เราดูโคนันบ่อยมาก ดูไร้สาระนะ แต่ไม่น่าเชื่อว่า ชุดความคิดแบบนักสืบทำให้เราสนุกกับการออกไปค้นหาและทำในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย
มันทำให้เราสามารถออกจาก comfort zone (ทางใจ) ได้ง่ายขึ้น และกล้าตัดสินใจมากขึ้น

แม้ว่ามันจะเป็นเพียงอะนิเมะ แต่สิ่งที่ความเป็นนักสืบสอนเราคือ เราต้องสังเกตสิ่งรอบตัวให้มากขึ้น ต้องคิดด้วยสายตาของคนที่กำลังมองเขาอยู่ว่า ถ้าเราเป็นเขา เราจะทำอะไร ทำยังไง หรือว่าคิดอะไรอยู่

ที่จริงแล้วเราก็ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเราเปลี่ยนไปมากแล้ว ถูกชุดความคิดของนักสืบครอบเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
จนกระทั่งเมื่อวานนี้ ต้องออกตัวไว้ก่อนว่า จริงๆ มันก็เป็นแค่เรื่องง่ายๆ ไม่ได้ยากเย็นอะไร แต่ก็นับเป็นจุดเปลี่ยนที่เรามองเห็นตัวเองมากขึ้นและมันดีขึ้นมากด้วย

เมื่อวานนี้ไปอบรม
สถานที่คือ อาคารของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง อยู่ที่ถนนเล็กๆ สายหนึ่งกลางกรุงเทพฯ
เบาะแสคือ ชื่ออาคาร
ซึ่งก่อนไป เราเปิดดูแผนที่จากอากู๋ จนรู้แล้วว่า อาคารนี้อยู่ถนนอะไร แต่ก็ไม่ได้เซฟหรือพรินท์ออกมา
พอลงจากสถานีรถไฟฟ้าเราก็เดินไปตามเส้นทางก็ไปถึงง่ายๆ

แต่พอถึงแล้วนี่สิ “ลืมอะ”
ลืมดูว่าห้องอบรมอยู่ชั้นอะไร ก็เลยโทรถามเพื่อนที่กำลังจะตามมาปรากฏว่า เธอไม่รู้
นึกอยู่พักนึง เลยโทรหาพี่อีกคน เราคิดว่าเธอคงเข้าห้องอบรมไปแล้วแน่ๆ
แต่เธอตอบมาว่า “พี่กำลังเดินทางไปค่ะ” และพี่สาวคนนี้ก็ไม่รู้ข้อมูลเลยว่าอาคารนี้คือที่ไหน กลายเป็นว่า เราต้องเป็นฝ่ายให้ข้อมูลเธอแทน
เอาล่ะสิ จะรู้ได้ยังไงว่าห้องอบรมคือที่ไหน
จะถามรปภ.ที่อยู่ด้านหน้าก็น่าจะไม่รู้ เพราะอาคารนี้เป็นอาคารแบบเปิดที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามาใช้บริการพบแพทย์ได้ ทางอาคารก็น่าจะไม่ต้องบอกเรื่องการอบรมที่เปิดให้คนนอกเข้าได้เป็นแน่

ถ้าอย่างนั้น เราต้องเลือกเองแล้วว่ามันจะเป็นชั้นไหน
ก็เลยไปดู directory board ที่ชี้แจงแถลงว่าอาคารนี้มีห้องหรือส่วนใช้งานอะไรบ้าง
ตึกนี้มี 14 ชั้น (ถ้าจำไม่ผิดนะ)
โชคดีเป็นของเรา มีเพียงชั้น 7 เท่านั้นที่ระบุว่าเป็นฝ่ายวิชาการและห้องบรรยาย
เมื่อถึงชั้น 7 ก็งงกันล่ะ ห้องบรรยายอยู่ไหนหว่า ทำไมไฟปิด เราก็เลยนึกได้ว่า “วันนี้วันเสาร์ เขาหยุดงานกัน”
พอคิดได้แบบนี้ก็แสดงว่า “เราต้องมองหาส่วนที่เปิดไฟไว้ นั่นน่าจะเป็นห้องบรรยาย”
แล้วก็เจอโซนเปิดไฟสว่าง เลยเดินไป แล้วก็เจอโต๊ะที่มีคนนั่งอยู่ คนตรงนั้นก็ถามมาว่า “มาอบรมหรือเปล่า”
ความรู้สึกเหมือนตอบข้อสอบถูกด้วยการเดาเลย มันเฮงจริงๆ

หลังจากนั้น เพื่อนสองคนที่เราโทรถามในตอนแรกก็โทรกลับมาถามว่าห้องอบรมอยู่ชั้นไหน
อ้อ เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า เธอลองถามรปภ.หน้าตึก ปรากฏว่า รปภ.ก็ไม่รู้จริงๆ ด้วย
การอบรมผ่านไปด้วยดีจนถึงเวลากลับ
“ลองเดินกลับอีกทางไหม จะได้ไปต่อรถเมล์ง่ายๆ” เราออกความเห็นและชวนเพื่อนอีกคนไปด้วยกัน เพราะรู้ว่าเธอก็จะต้องไปต่อรถตรงนั้นเช่นกัน
แล้วก็มีเพื่อนอีกคนมาคุย เลยชวนเธอเดินไปด้วยกัน เธอก็ตอบตกลง สรุปว่า มีกันสามคนละ
“เตรียมไปหลงกันได้แล้ว เย้ๆๆ” ทำไมชอบความรู้สึกแบบนี้ก็ไม่รู้นะ

เราเดาว่า บริเวณนี้น่าจะมีทางลัดที่เดินได้ เพื่อให้ทะลุไปถึงถนนอีกสายได้ ก็ในวันธรรมดาจะต้องมีคนใช้เส้นทางเดียวกับเรา “เดิน” เพื่อให้ถึงเร็วขึ้นและมันน่าจะสะดวกกว่ามาก
เราตัดสินใจถามที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ (ที่ไม่น่าจะเกี่ยวกับการถามทาง น่าจะให้บริการด้านการแพทย์ แต่เราก็ถามนะ)
“ขอโทษนะคะ ถามทางหน่อยค่ะ จะไป…. ตรงนี้มีทางทะลุไปถนน…นี้ได้ไหมคะ …..ออกทางไหนคะ”
เธอก็บอกทางมา พวกเราเดินกันไป แต่ว่าเมื่อเดินมาเจอทางแยกซ้ายขวา ด้านขวามีป้ายเขียนว่า อาคาร… เราลังเลและคิดว่ามันไม่น่าจะใช่ทางออก
ก็เลยหันไปมองทางซ้ายมือ มีผู้หญิงสองคนเดินไปทางนั้น และมีป้ายเล็กๆ เขียนว่า ทางออก
สรุปว่า เราชวนให้เพื่อนเดินตามสองคนนั้นไป

เราคิดว่าน่าจะถูกทางแล้วนะ ทีนี้ก็เดินไปตามทางแคบๆ ผ่านซอกตึกหลายตึก และก็เจอตึกหนึ่งขวางหน้าอยู่
เรามองเห็นผู้ชายคนหนึ่ง มองจากด้านหลัง เดาว่าเป็นชาวต่างชาติ เขากำลังเดินเข้าไปในตึกที่ขวางหน้าและหายเข้าไปในซอกเล็กๆ เราอยากตามไปเพราะคิดว่า คนๆ นี้น่าจะคุ้นเคยกับทางลัดนี้ ไม่งั้นเขาจะเข้าไปในซอกนั่นทำไมกัน
เลยบอกเพื่อนว่าไปทางนั้นไหม แต่เพื่อนคนหนึ่งเห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินไปทางซ้ายมือที่มีถนนและลานโล่ง เธอบอกว่า ถามคนนั้นเถอะ และเธอก็ตะโกนเรียกผู้หญิงคนนั้น แต่เราทักท้วงไว้และว่าให้เดินตามไปก็ได้ ไม่ต้องถามหรอก เพราะตรงนั้นมีถนนน่าจะออกจากบริเวณนี้ได้

เมื่อเดินไปเจอทางแยกอีก มีรปภ.อยู่หนึ่งคน น้องผู้หญิงคนเดิมก็ตัดสินใจถามทางกับรปภ. และก็ได้คำตอบว่า ให้ไปทางขวาแล้วเลี้ยวซ้ายไปตามทางก็จะออกถนน…ได้แล้ว
พวกเราเดินไปตามทางที่รปภ.คนนั้นบอก
พอเลี้ยวซ้าย เดินไปได้เล็กน้อยก็มองเห็นทางออกสู่ถนน…แต่ไกล เราเลยหันไปดูทางด้านหลัง มันคือตึกที่ขวางหน้าเราอยู่ในตอนแรก และเป็นตึกที่ผู้ชายต่างชาติคนนั้นเดินหายตัวไป
เราคิดว่า ถ้าเราเดินตามเขาไป เราก็ไม่ต้องเดินอ้อมตึกแล้วล่ะ
คราวหน้าเราจะลองเดินลัดตึกนี้ดูนะ อยากรู้ว่า ที่คิดไว้มันจะเป็นจริงไหม

ทั้งหมดที่เล่ามา ก็เพราะอยากเตือนตัวเองว่า เราสังเกต ตั้งคำถามกับสิ่งที่สงสัย และตรวจสอบสิ่งที่สงสัยเมื่อสิ่งเหล่านั้นคลี่คลาย
นี่เราเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ไม่ว่าเราจะมองเห็นอะไร ได้ยินอะไร หรือแม้แต่ทำอะไร ชุดความคิดที่ครอบเราเอาไว้แล้วมันจะผุดขึ้นมาโดยไม่ต้องนึก มันมาโดยสัญชาตญาณ
พอคิดแบบนี้เลยเข้าใจว่า ไม่แปลกเลยที่ฮิตเลอร์จะสร้างเยาวชนฮิตเลอร์ขึ้นมาในยุคสงครามโลกครั้งนั้น ด้วยการเอาเด็กอายุไม่ถึง 10 ปี มาฝึก
เด็กได้ฝึก ได้ฟัง ได้เห็น ได้คิด ด้วยชุดความคิดแบบเดียวกัน ก็เลยคิดเหมือนๆ กัน และถูกครอบด้วยชุดความคิดที่จับใส่เข้ามา ช่างน่าสงสารจริงๆ
ทีนี่ก็น่าสงสัยว่า ถ้ามันเป็นชุดความคิดที่ถูกต้องและตั้งอยู่บนพื้นฐานความดี
ผลลัพธ์ที่ออกมา มันจะเป็นความจริงและประกอบด้วยความดีสินะ

สงสัยว่า จะต้องเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ค่อยชอบดูอะไรซ้ำๆ
แต่หลังจากนี้จะกลับไปดูโคนันซ้ำๆ แล้วล่ะ เพราะเราก็อยากไขปริศนาต่างๆ ให้ได้เหมือนกัน
พอเรามองด้วยสายตาแบบนักสืบ อะไรๆ นี่มันก็สนุกขึ้นจริงๆ นะ

Leave a comment