Archive

มันคือ บั น ทุ ก

ว่าด้วยเด็กกิจกรรมและการศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี
ก็ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว หลานชายวิ่งวุ่นสอบเข้ามหาวิทยาลัยต่างๆ โดยมีความตั้งใจจะสอบเข้าเรียนต่อด้านดนตรีสากล
ไอที่มันยุ่งยากกว่านั้นคือ หลานบอกว่า เมื่อเรียนจบออกมาแล้วจะต้องเป็นวุฒิการศึกษา “ครุศาสตร์” ที่สามารถไปเป็นครูสอนนักเรียนได้ด้วย
โจทย์เธอยากไปรึเปล่า
ดูเหมือนว่าจะยากแต่จริงๆ มันก็ไม่ยากเกินความสามารถที่มี

หลานชายเป็นเด็กกิจกรรม เล่นดนตรีมาตั้งแต่ ป.4 เครื่องดนตรีชิ้นแรกคือ กลองแต๊ก เพราะเป็นความตั้งใจของหลานเองตั้งแต่อยู่ ป.2 เห็นจะได้มั้ง
จำได้ว่า ตอน ป.4 และเป็นครั้งแรกที่หลานได้ออกเล่นดนตรีในงานใหญ่ประจำจังหวัด คือ งานเดินแห่กระทง (มั้งนะ ถ้าจำไม่ผิด)
พวกเราทั้งบ้านก็ยกโขยงกันไปเชียร์ตามเส้นทางที่เดินนั่นแหล่ะ

แล้วพอเรียนต่อมัธยม หลานก็เข้าวงโยฯ ของโรงเรียน เครื่องดนตรีก็เป็นกลองเล็ก กลองใหญ่ แล้วตามด้วยทรอมโบน แซกโซโฟน (ไล่เรียงเครื่องดนตรีได้ประมาณนี้มั้ง)
ช่วงที่หลานเข้าไปเรียนก็เป็นปีทองของโรงเรียนนี้ เมื่อวงดนตรีลูกทุ่งของโรงเรียนกำลังขึ้นหม้อ ก็เพราะเด็กๆ รุ่นก่อนและรุ่นต่อๆ มาต่างตั้งใจซ้อม-เล่นเพื่อการแข่งขัน จึงได้ไปแข่งขันกันอย่างต่อเนื่อง
และหลานก็เปลี่ยนมาเล่น เบสและกีตาร์ตามลำดับ
ดังนั้นตั้งแต่ ม.2-6 หลานจึงได้เล่นออกงานทั้งแข่งขัน ทั้งเล่นโชว์ตลอดหลายปี ขึ้นเวทีสำคัญๆ และได้รับรางวัลสำคัญระดับประเทศร่วมกับวงโรงเรียนและเพื่อนๆ ของเขาเยอะพอควร

จะเห็นได้ว่า หลานเล่นเครื่องดนตรีเล่นได้หลายชิ้น จะยกเว้นก็พวกคีย์บอร์ดเปียโนอะไรทำนองนี้ (อันนี้ก็คงเพราะทางบ้านไม่มีสตางค์จะซื้อให้ เลยไม่ได้เล่นน่ะนะ แต่อาจจะพอจิ้มเล่นได้บ้างละมั้ง)

ในช่วงที่สอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็ได้ไปติวพิเศษด้านทฤษฎีดนตรีกับพี่ๆ ที่เรียนอยู่หรือจบระดับมหาวิทยาลัยดังๆ แล้ว ซึ่งพี่ติวก็เป็นน้องๆ ที่อยู่ใกล้ชิดกับพี่โก้ (นักดนตรีดัง) ทำให้เพิ่มความมั่นใจว่า น่าจะสอบเข้าสถาบันดังๆ กับเขาได้บ้าง
ในที่สุดก็สอบผ่านข้อเขียน มหาวิทยาลัยดังระดับประเทศ แล้ววันที่สอบปฏิบัติ หลานก็แบกเครื่องดนตรีขึ้นรถโดยสารเข้ามากลางกรุงเทพฯ มากับเพื่อนอีก 3 คน “เจ้าเด็กๆ พวกนี้นี่ก็ตั้งใจกันจริงจังมากๆ น่านับถือ”

ในวันนั้น ป้าก็ไปให้กำลังใจหลานชายอีกเช่นเคย บรรยากาศการรอสอบเป็นอะไรที่ป้าไม่คุ้นเคย เพราะเป็นการสอบทักษะด้านดนตรี จึงมีเด็กๆ นั่งซ้อมหรือหลบมุมซ้อมเล่นเครื่องดนตรีของตัวเองกันไป
มีเด็กคนหนึ่งนั่งสีซออู้ตั้งแต่ 8 โมง เขาหยุดพักแป๊บหนึ่งแล้วก็ซ้อมต่อไปแบบไม่หยุดมือกันเลย เรียกได้ว่าซ้อมนานมาก 4 ชั่วโมงเห็นจะได้

เมื่อหลานป้าเข้าไปสอบทักษะเครื่องเป่าและกลับลงมา เด็กๆ ก็คุยศัพท์แสงเกี่ยวกับดนตรี ฮาร์โมนี่ บลาๆๆๆ (ป้าล่ะงงครัช ฮ่าๆๆ)
หลานชายบอกว่า ยากมากเหมือนกัน มีสอบฟัง สอบเล่น
แล้วมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เข้าสอบเล่นไวโอลินก่อนหน้าหลาน พอเด็กผู้หญิงคนนั้นเล่นไปได้นิดเดียว อาจารย์สามคนที่ฟังอยู่ก็บอกให้หยุดเล่น
เท่านั้นแหล่ะ เด็กผู้หญิงร้องไห้แล้วก็ออกจากห้องสอบเลย มันช่างดราม่ายิ่งนัก

พอสอบกันครบแล้วเด็กๆ ก็เม้ามอยว่า มีแต่พวกโหดๆ เนอะ
ป้าก็ถามความหมาย เจ้าพวกนี้ก็บอกว่า โหดๆ เนี่ยคือ การเล่นระดับเทพๆ นะครัช
เออ มันก็จริงนะ เพราะเท่าที่ฟังดูคนอื่นๆ ซ้อม มันมีเสียงเครื่องดนตรีหลากหลายและหลายระดับการเล่นจริงๆ
และเด็กๆ ก็ได้ประเมินตัวเองกันด้วยว่า น่าจะไม่ติดที่นี่ แต่ก็มาสอบเพื่อเป็นประสบการณ์
ดูเหมือนเด็กๆ จะทำใจได้ในระดับหนึ่งแล้ว

การสอบเข้าของหลานชายยังไม่จบสิ้น ไปสอบหลายมหาวิทยาลัย บางแห่งสอบได้ก็ไม่ไปสอบสัมภาษณ์ ซึ่งถ้าไปสัมฯ ก็ได้แน่นอน เพราะเป็นเด็กกิจกรรม แต่ไม่ไปเพราะไม่ใช่วุฒิครู บางแห่งก็พลาดไม่ได้ทำแม้แต่สมัครสอบ ก็แอบเสียดายกันไป แล้วก็มาลุ้นกันต่อปายยย
ในที่สุดก็ได้ที่สถาบันหนึ่ง ก็อยู่ที่บ้านนั่นแหล่ะ แต่….หลานบอกว่า ถ้าเอาก็จะไม่ได้ไปสอบอีกที่หนึ่งนะ ก็เลยเลือกไม่ไปลงทะเบียน เลือกที่จะไปสอบอีกที่ในอีกสองสามวันต่อมาดีกว่า
พอมาถึงตอนนี้ ทางโรงเรียนได้บอกว่า จริงๆ แล้วรางวัลที่วงดนตรีนี้ได้รับเมื่อปีที่ผ่านมาเป็นรางวัลใหญ่มาก สามารถใช้เป็นฟาสต์แทรกท์เพื่อเข้าเรียนต่อได้เลย แต่โอกาสนั้นได้ผ่านไปแล้ว
เฮ้ยยยยยยยยยยย เสียดายมาก ป้าโกรธโรงเรียน โกรธแนะแนวมาก ทำไมไม่บอกให้มันเร็วๆ ทำไมโรงเรียนไม่จัดการดูแลให้ได้เข้าเรียน ทั้งๆ ที่ถ้าเด็กๆ ในวงได้เข้าเรียน มันก็เป็นหน้าเป็นตาของโรงเรียนแท้ๆ ป้าบอกเลยวันที่รู้นี่ โกรธมาก

จนแล้วจนรอด หลานชายก็สอบไม่ได้ เลยต้องกลับมาสอบที่สถาบันที่ได้ในตอนแรก (แต่ไม่ไปลงทะเบียน)
ในที่สุด ก็ได้ที่เรียน ก็มหาวิทยาลัยที่บ้านนั่นแหล่ะ ค่อยยังชั่วหน่อย ได้เรียนดนตรี 5 ปี กับวุฒิครู ตามที่ตั้งใจไว้
ป้าก็อยากให้ตั้งใจเรียนให้มากๆ ให้เกรดดีๆ จะได้เรียนต่อได้ง่ายๆ
แต่เดาว่า ณ จุดนี้ยากมาก เพราะความเป็นเด็กกิจกรรมเต็มตัว ก็ตอนที่เพิ่งจบ ม.6 มาหมาดๆ ระหว่างสอบเข้า พวกเด็กๆ ก็ไปออดิชั่นเล่นดนตรีตามร้านอาหารกลางคืนกันแล้วครัช และวงก็ได้เล่นจริงๆ พวกนายแน่มากครัช

คำแนะนำของป้าคือ ขอให้เปิดโลกด้วยการอ่านหนังสือ (ไปยืมห้องสมุดมาอ่านโลด ไหนๆ ก็เสียเงินแล้ว) เรียนภาษาอังกฤษให้เกรดดีๆ และทำเกรดเฉลี่ยให้ได้ 3 ขึ้นไป แค่นั้นน่าจะพอไหวสำหรับแผนในอนาคตของเด็กกิจกรรมคนนี้แล้วล่ะ
ส่วนกิจกรรมที่ทำ ก็ทำต่อไปได้ ให้รู้จักแบ่งเวลา และรู้จักเลือกสิ่งที่ดีกับตัวเอง โดยเงื่อนไขสำคัญของชีวิต ก็ให้ย้อนกลับไปอ่านคำแนะนำในบรรทัดบนนะครัช

เมื่อเราทำสิ่งใดซ้ำๆ ดูสิ่งใดบ่อยๆ ฟังอะไรเดิมๆ เมื่อมันมาจากชุดความคิดเดียวกัน ผลลัพธ์ที่ได้ออกมา มันจะไม่ต่างกัน
ผลลัพธ์จากชุดความคิดเดียวกันจะเป็นกลายเป็นความจริงเพียงหนึ่งเดียว (คุ้นๆ กันไหม ฮ่าๆ)
และเราจะเข้าใจมันได้ง่ายๆ จะเพราะอะไรล่ะ
ก็เพราะมันเป็นชุดความคิดที่ถูกฝังลงในหัวในสมองของเราไปแล้ว
ไม่ว่าเราจะมองเห็นอะไร ได้ยินอะไร หรือแม้แต่ทำอะไร ชุดความคิดแบบนั้นๆ จะครอบเราเอาไว้แล้ว

หลายปีมานี้ การมียูทูบทำให้เรามองอย่างสายตาของนักสืบมากขึ้น
มันก็เป็นเพราะว่า เราดูโคนันบ่อยมาก ดูไร้สาระนะ แต่ไม่น่าเชื่อว่า ชุดความคิดแบบนักสืบทำให้เราสนุกกับการออกไปค้นหาและทำในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย
มันทำให้เราสามารถออกจาก comfort zone (ทางใจ) ได้ง่ายขึ้น และกล้าตัดสินใจมากขึ้น

แม้ว่ามันจะเป็นเพียงอะนิเมะ แต่สิ่งที่ความเป็นนักสืบสอนเราคือ เราต้องสังเกตสิ่งรอบตัวให้มากขึ้น ต้องคิดด้วยสายตาของคนที่กำลังมองเขาอยู่ว่า ถ้าเราเป็นเขา เราจะทำอะไร ทำยังไง หรือว่าคิดอะไรอยู่

ที่จริงแล้วเราก็ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเราเปลี่ยนไปมากแล้ว ถูกชุดความคิดของนักสืบครอบเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
จนกระทั่งเมื่อวานนี้ ต้องออกตัวไว้ก่อนว่า จริงๆ มันก็เป็นแค่เรื่องง่ายๆ ไม่ได้ยากเย็นอะไร แต่ก็นับเป็นจุดเปลี่ยนที่เรามองเห็นตัวเองมากขึ้นและมันดีขึ้นมากด้วย

เมื่อวานนี้ไปอบรม
สถานที่คือ อาคารของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง อยู่ที่ถนนเล็กๆ สายหนึ่งกลางกรุงเทพฯ
เบาะแสคือ ชื่ออาคาร
ซึ่งก่อนไป เราเปิดดูแผนที่จากอากู๋ จนรู้แล้วว่า อาคารนี้อยู่ถนนอะไร แต่ก็ไม่ได้เซฟหรือพรินท์ออกมา
พอลงจากสถานีรถไฟฟ้าเราก็เดินไปตามเส้นทางก็ไปถึงง่ายๆ

แต่พอถึงแล้วนี่สิ “ลืมอะ”
ลืมดูว่าห้องอบรมอยู่ชั้นอะไร ก็เลยโทรถามเพื่อนที่กำลังจะตามมาปรากฏว่า เธอไม่รู้
นึกอยู่พักนึง เลยโทรหาพี่อีกคน เราคิดว่าเธอคงเข้าห้องอบรมไปแล้วแน่ๆ
แต่เธอตอบมาว่า “พี่กำลังเดินทางไปค่ะ” และพี่สาวคนนี้ก็ไม่รู้ข้อมูลเลยว่าอาคารนี้คือที่ไหน กลายเป็นว่า เราต้องเป็นฝ่ายให้ข้อมูลเธอแทน
เอาล่ะสิ จะรู้ได้ยังไงว่าห้องอบรมคือที่ไหน
จะถามรปภ.ที่อยู่ด้านหน้าก็น่าจะไม่รู้ เพราะอาคารนี้เป็นอาคารแบบเปิดที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามาใช้บริการพบแพทย์ได้ ทางอาคารก็น่าจะไม่ต้องบอกเรื่องการอบรมที่เปิดให้คนนอกเข้าได้เป็นแน่

ถ้าอย่างนั้น เราต้องเลือกเองแล้วว่ามันจะเป็นชั้นไหน
ก็เลยไปดู directory board ที่ชี้แจงแถลงว่าอาคารนี้มีห้องหรือส่วนใช้งานอะไรบ้าง
ตึกนี้มี 14 ชั้น (ถ้าจำไม่ผิดนะ)
โชคดีเป็นของเรา มีเพียงชั้น 7 เท่านั้นที่ระบุว่าเป็นฝ่ายวิชาการและห้องบรรยาย
เมื่อถึงชั้น 7 ก็งงกันล่ะ ห้องบรรยายอยู่ไหนหว่า ทำไมไฟปิด เราก็เลยนึกได้ว่า “วันนี้วันเสาร์ เขาหยุดงานกัน”
พอคิดได้แบบนี้ก็แสดงว่า “เราต้องมองหาส่วนที่เปิดไฟไว้ นั่นน่าจะเป็นห้องบรรยาย”
แล้วก็เจอโซนเปิดไฟสว่าง เลยเดินไป แล้วก็เจอโต๊ะที่มีคนนั่งอยู่ คนตรงนั้นก็ถามมาว่า “มาอบรมหรือเปล่า”
ความรู้สึกเหมือนตอบข้อสอบถูกด้วยการเดาเลย มันเฮงจริงๆ

หลังจากนั้น เพื่อนสองคนที่เราโทรถามในตอนแรกก็โทรกลับมาถามว่าห้องอบรมอยู่ชั้นไหน
อ้อ เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า เธอลองถามรปภ.หน้าตึก ปรากฏว่า รปภ.ก็ไม่รู้จริงๆ ด้วย
การอบรมผ่านไปด้วยดีจนถึงเวลากลับ
“ลองเดินกลับอีกทางไหม จะได้ไปต่อรถเมล์ง่ายๆ” เราออกความเห็นและชวนเพื่อนอีกคนไปด้วยกัน เพราะรู้ว่าเธอก็จะต้องไปต่อรถตรงนั้นเช่นกัน
แล้วก็มีเพื่อนอีกคนมาคุย เลยชวนเธอเดินไปด้วยกัน เธอก็ตอบตกลง สรุปว่า มีกันสามคนละ
“เตรียมไปหลงกันได้แล้ว เย้ๆๆ” ทำไมชอบความรู้สึกแบบนี้ก็ไม่รู้นะ

เราเดาว่า บริเวณนี้น่าจะมีทางลัดที่เดินได้ เพื่อให้ทะลุไปถึงถนนอีกสายได้ ก็ในวันธรรมดาจะต้องมีคนใช้เส้นทางเดียวกับเรา “เดิน” เพื่อให้ถึงเร็วขึ้นและมันน่าจะสะดวกกว่ามาก
เราตัดสินใจถามที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ (ที่ไม่น่าจะเกี่ยวกับการถามทาง น่าจะให้บริการด้านการแพทย์ แต่เราก็ถามนะ)
“ขอโทษนะคะ ถามทางหน่อยค่ะ จะไป…. ตรงนี้มีทางทะลุไปถนน…นี้ได้ไหมคะ …..ออกทางไหนคะ”
เธอก็บอกทางมา พวกเราเดินกันไป แต่ว่าเมื่อเดินมาเจอทางแยกซ้ายขวา ด้านขวามีป้ายเขียนว่า อาคาร… เราลังเลและคิดว่ามันไม่น่าจะใช่ทางออก
ก็เลยหันไปมองทางซ้ายมือ มีผู้หญิงสองคนเดินไปทางนั้น และมีป้ายเล็กๆ เขียนว่า ทางออก
สรุปว่า เราชวนให้เพื่อนเดินตามสองคนนั้นไป

เราคิดว่าน่าจะถูกทางแล้วนะ ทีนี้ก็เดินไปตามทางแคบๆ ผ่านซอกตึกหลายตึก และก็เจอตึกหนึ่งขวางหน้าอยู่
เรามองเห็นผู้ชายคนหนึ่ง มองจากด้านหลัง เดาว่าเป็นชาวต่างชาติ เขากำลังเดินเข้าไปในตึกที่ขวางหน้าและหายเข้าไปในซอกเล็กๆ เราอยากตามไปเพราะคิดว่า คนๆ นี้น่าจะคุ้นเคยกับทางลัดนี้ ไม่งั้นเขาจะเข้าไปในซอกนั่นทำไมกัน
เลยบอกเพื่อนว่าไปทางนั้นไหม แต่เพื่อนคนหนึ่งเห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินไปทางซ้ายมือที่มีถนนและลานโล่ง เธอบอกว่า ถามคนนั้นเถอะ และเธอก็ตะโกนเรียกผู้หญิงคนนั้น แต่เราทักท้วงไว้และว่าให้เดินตามไปก็ได้ ไม่ต้องถามหรอก เพราะตรงนั้นมีถนนน่าจะออกจากบริเวณนี้ได้

เมื่อเดินไปเจอทางแยกอีก มีรปภ.อยู่หนึ่งคน น้องผู้หญิงคนเดิมก็ตัดสินใจถามทางกับรปภ. และก็ได้คำตอบว่า ให้ไปทางขวาแล้วเลี้ยวซ้ายไปตามทางก็จะออกถนน…ได้แล้ว
พวกเราเดินไปตามทางที่รปภ.คนนั้นบอก
พอเลี้ยวซ้าย เดินไปได้เล็กน้อยก็มองเห็นทางออกสู่ถนน…แต่ไกล เราเลยหันไปดูทางด้านหลัง มันคือตึกที่ขวางหน้าเราอยู่ในตอนแรก และเป็นตึกที่ผู้ชายต่างชาติคนนั้นเดินหายตัวไป
เราคิดว่า ถ้าเราเดินตามเขาไป เราก็ไม่ต้องเดินอ้อมตึกแล้วล่ะ
คราวหน้าเราจะลองเดินลัดตึกนี้ดูนะ อยากรู้ว่า ที่คิดไว้มันจะเป็นจริงไหม

ทั้งหมดที่เล่ามา ก็เพราะอยากเตือนตัวเองว่า เราสังเกต ตั้งคำถามกับสิ่งที่สงสัย และตรวจสอบสิ่งที่สงสัยเมื่อสิ่งเหล่านั้นคลี่คลาย
นี่เราเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ไม่ว่าเราจะมองเห็นอะไร ได้ยินอะไร หรือแม้แต่ทำอะไร ชุดความคิดที่ครอบเราเอาไว้แล้วมันจะผุดขึ้นมาโดยไม่ต้องนึก มันมาโดยสัญชาตญาณ
พอคิดแบบนี้เลยเข้าใจว่า ไม่แปลกเลยที่ฮิตเลอร์จะสร้างเยาวชนฮิตเลอร์ขึ้นมาในยุคสงครามโลกครั้งนั้น ด้วยการเอาเด็กอายุไม่ถึง 10 ปี มาฝึก
เด็กได้ฝึก ได้ฟัง ได้เห็น ได้คิด ด้วยชุดความคิดแบบเดียวกัน ก็เลยคิดเหมือนๆ กัน และถูกครอบด้วยชุดความคิดที่จับใส่เข้ามา ช่างน่าสงสารจริงๆ
ทีนี่ก็น่าสงสัยว่า ถ้ามันเป็นชุดความคิดที่ถูกต้องและตั้งอยู่บนพื้นฐานความดี
ผลลัพธ์ที่ออกมา มันจะเป็นความจริงและประกอบด้วยความดีสินะ

สงสัยว่า จะต้องเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ค่อยชอบดูอะไรซ้ำๆ
แต่หลังจากนี้จะกลับไปดูโคนันซ้ำๆ แล้วล่ะ เพราะเราก็อยากไขปริศนาต่างๆ ให้ได้เหมือนกัน
พอเรามองด้วยสายตาแบบนักสืบ อะไรๆ นี่มันก็สนุกขึ้นจริงๆ นะ

เคยไปอ่านเจอที่ไหนสักแห่ง
ผู้เขียนเขียนไว้ประมาณว่า “เราควรฟังเสียงจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว นั่งรถเมล์ก็ไม่ควรยัดหูฟังเปิดเพลงดังดังใส่เข้าไป ยกเว้นเวลาที่ต้องการโลกส่วนตัวสูงสูง เช่นเวลาที่อยากหลับบนรถเมล์”
นับแต่นั้นมา ฉันก็แทบจะทำตามความคิดนี้ตลอด 

พอได้ฟังเสียงรอบตัว สายตาก็ทำงานไปด้วยพร้อมกัน แต่ไม่แน่ใจว่า ‘ตาหรือหู’ ที่ทำงานก่อนกัน

ก่อนวันวาเลนไทน์หนึ่งวัน
ขณะยืนบนรถเมล์สาย 8 ฉันก็สังเกตการณ์สิ่งแวดล้อมรอบตัวเหมือนเคย
พอรถเมล์หยุดจอดที่ป้ายหนึ่งบนถนนพหลโยธิน ฉันมองลงไปที่ฟุตบาท มองผู้คนที่เร่งฝีเท้าเพื่อขึ้นรถเมล์
สายตาฉันหยุดตรงนั้น มีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เหล็กดัดสำหรับรอรถเมล์ ตอนนี้เขายึดครองเก้าอี้ตัวนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียว

เขากำลังเอามือควานในถุงพลาสติกใบหนึ่ง เขย่าถุงแล้วยกขึ้นมาส่องดู ด้วยท่าทางของเขาดูเหมือนเขย่าไม่แรงเลย แต่เสียงสิ่งของที่กระทบกัน มันดังนะ เสียงดังจนฉันที่อยู่ห่างออกมายังได้ยิน แล้วเขาก็หยิบเอาฝาขวดน้ำอัดลมแบบฝาพลาสติกออกมาจากถุงใบนั้น
ก่อนที่เขาจะค่อยค่อยวางมันลงบนกระดานเกมหมาก…อะไรสักอย่าง เขาหยุดนิดหนึ่งเหมือนกำลังใช้ความคิด
แล้วรถเมล์ก็ค่อยค่อยเคลื่อนตัวออกจากป้าย

ระยะเวลาที่ฉันสังเกตการณ์นี้ มันเหมือนสปอตทีวีซีสิบห้าวินาทีเอามากมาก แต่เป็นภาพที่ติดตาเหลือเกิน ภาพนั้นคอยรีเพลย์ซ้ำแล้วซ้ำอีก

ฉันจดจำภาพหมากกระดานนั้นได้บางส่วน แต่ไม่มั่นใจเลยว่ามันเป็นเกมหมากชนิดไหน เพราะบนกระดานนั้นมีฝาน้ำอัดลมวางอยู่จำนวนมาก

ชายคนนี้กำลังเล่นเกมหมาก…อะไรสักอย่าง…อยู่…คนเดียว
เหมือนว่าเสียงรอบตัวฉันจะเงียบหายไป เพราะเสียงความคิดส่งเสียงดังจนกลบเสียงอื่น
ฉันอยากรู้ว่า เขาคิดยังไงและมันสนุกยังไงที่เล่นเกมเพื่อจะชนะตัวเอง เพราะฉันเคยเล่นเกมหมากคนเดียว แต่มันไม่สนุกเลย

ชั่วระยะเวลาสั้นเท่านี้ ฉันพอจะเดาออกจากสิ่งของที่วางอยู่ข้างข้างตัวและทรงผมของผู้ชายคนนี้
ฉันเชื่อว่า เขาไม่ใช่คนปกติแน่แน่ อาจเป็นคนบ้า หรือโฮมเลสสติเฟื่องคนหนึ่งที่อยู่ในโลกส่วนตัว
ฉันไม่รู้ว่า ที่กระดานหมากอีกฝั่งมีคนในจินตนาการอยู่หรือเปล่า แต่ที่แน่แน่ เขาน่าจะมีความสุขที่ได้เล่นเกมนี้
เพราะเสี้ยววินาทีนั้น สีหน้านั้น ทำให้ฉันคิดไปเองว่า เขาอาจจะอยากบอกคู่แข่งของเขาว่า “เอาละ เราจะจัดการนายให้อยู่หมัดล่ะนะ”

นี่อาจเป็นสิ่งที่ทำให้ชายคนนี้มีชีวิตอยู่ได้ หล่อเลี้ยงหัวใจด้วยคำว่า ‘ชัยชนะ’ แม้จะเป็นชัยชนะเพียงแค่ในโลกจินตนาการของเขาเท่านั้น
ในโลกส่วนตัวที่เราเป็นผู้ชนะเสมอ มันจะมีความหมายมากกว่า…ชัยชนะในโลกจริงจริง…ได้ยังไงกันนะ

ฉันจมอยู่ในเสียงของความคิดที่ดังกว่าเสียงรอบตัวอยู่นานเหมือนกัน จนสักพักหนึ่ง ฉันก็กลับมาอยู่ในโลกความจริงที่รถเมล์ขับเร็วจนรู้สึกได้ แต่ใจฉันก็วกไปคิดไปถึงชายคนนั้นอีก
ถ้าเขาได้มายืนบนรถเมล์คันนี้ แบบที่ฉันยืนจับพนักเก้าอี้แน่นอยู่แบบนี้ เขาจะอยู่ในโลกแบบไหน เขาจะแสดงออกมาแบบไหน เขาจะรู้สึกสนุกหรือกลัว…

พอฟังเสียงสิ่งแวดล้อมรอบตัว ตาได้มองเห็น สมองได้ทำงาน ฉันก็จะคิดไปเรื่อยเรื่อย
แต่คำถามที่ฉันสงสัยนี่น่ะ จะไปหาคำตอบได้จากที่ไหนกันล่ะ
หรือฉันควรจะยัดหูฟังเปิดเสียงเพลงดังดังใส่เข้าไป ให้มันกลบเสียงอื่นอื่น รวมถึงเสียงความคิดของตัวฉันเองด้วย

การทำงานที่บ้าน
และมีเวลาอยู่กับตัวเองนานนาน
มันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นใบชาหนึ่งกำมือ
ที่หย่อนลงในกาน้ำชาใบสวย

รสชาติแรกสุดของน้ำชา
มันก็ฝาดเฝื่อนนะ
ผู้เชี่ยวชาญจึงบอกให้ลวกน้ำร้อนผ่าน แล้วทิ้งน้ำแรกไปโดยไม่ต้องเสียดมเสียดายมัน
เหมือนเวลาที่ขึ้นโครงสร้างงานตอนแรก ดูเหมือนแทบจะรื้อทิ้งไปจนหมด

พอใส่น้ำร้อนในกาเป็นหนที่สอง
ปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป
ส่วนประกอบในใบชาจะละลายออกมากับน้ำร้อน
บรรจงรินน้ำจากใบชาสีเข้มลงในถ้วยกาแฟใบโปรด
แล้วค่อยค่อยจิบทีละอึกราวกับกำลังชิมไวน์สุดหรู
แต่สัมผัสที่ได้รับจากน้ำชา มันน่าชื่นใจกว่าไวน์รสขมมากนัก
กลิ่นชาก็ไม่ชวนมึนเมา เพราะไร้แอลกอฮอล์แน่แน่
เหมือนทำงานอย่างตั้งใจและทำอย่างมีสติ

แต่พอดื่มน้ำชากานั้นไปสักพัก
เติมน้ำร้อนไปสักห้ารอบ
รสชาที่ได้จากใบชาที่แช่อยู่ในกาอยู่นานแล้วมันเริ่มจืดสนิท
และแล้วใบชาก็กลายเป็นกากชาที่เกือบจะหมดคุณค่าไปเลย
ก็เหมือนงานบางชิ้นที่ต้องแก้แล้วแก้อีก
ทั้งที่เค้นสมองไปจนสุดหลืบรอยหยักที่มีอยู่แล้ว แต่ก็หาอะไรใหม่กว่าไม่เจอ นั่นก็จนใจจริงจริงนะ

การจิบน้ำชาร้อนร้อน กลิ่นหอมจากใบชาช่วยบำบัดจิตใจได้มาก
และช่วยให้สมองโล่งขึ้น
ทีนี้หากน้ำชาไม่อร่อยแล้วก็ต้องเปลี่ยน
ต้องเอากากชาเก่าจืดชืดออกไปทิ้ง
ต้องหมั่นเติมน้ำร้อนและเปลี่ยนใบชาบ่อยบ่อย
นั่นนับว่าช่วยเตือนสติได้อย่างดี
แล้วไหนจะต้องลวกน้ำร้อนใหม่กันทุกรอบ
มันก็ทำให้มีสติมากขึ้นอีก
เตือนให้ตระหนักว่า อย่าทำอะไรด้วยความเคยชิน
หมั่นออกจากกา เปลี่ยนหรือเติมสิ่งดีดีลงไปด้วยสติปัญญา
แล้วน้ำชาจะอร่อยอย่างที่เราตั้งใจ
เรื่องของงานก็ทำนองเดียวกัน

image

มาเขียนบันทึกเอาไว้ว่า
วันที่ 27 ก็ไม่ใช่วันของเราไปเสียทุกครั้งหรอก

เสียใจ…
สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรเลย…
ปีกว่าเลยนะ
แม้ว่าจะทำใจมาบ้างแล้ว
แต่ก็ยังเสียใจอยู่ดี…

มัน ยัง ไม่ ดี พอ
เสียใจ….